“จู้ยิงไถ” หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้ใฝ่เรียนรู้ ยอมฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติของผู้คนในอดีตเรื่องการห้ามสตรีเรียนหนังสือ ด้วยการปลอมตนเป็นชายเพื่อเข้าเรียน
จู้ยิงไถได้พบกับ “เหลียงซานป๋อ” บัณฑิตหนุ่มผู้มีจิตใจที่ดีงาม ทั้งสองเรียนหนังสือร่วมกัน อยู่ด้วยกันจนก่อเกิดเป็นความผูกพัน เมื่อวันเวลาผ่านไป จู้ยิงไถก็เริ่มมีใจให้กับเหลียงซานป๋อ เธอจึงพยายามบอกเป็นนัย ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้ฝ่ายชายรับรู้ว่าตนนั้นเป็นหญิงและมีใจให้ฝ่ายชาย
แต่เหลียงซานป๋อไม่เข้าใจในสิ่งที่ฝ่ายหญิงสื่อ จนสุดท้ายเมื่อเหลียงซานป๋อได้รู้ความจริง ฝ่ายชายก็เริ่มตระหนักได้ว่าตนนั้นก็มีใจให้กับจู้ยิงไถเช่นกัน แต่เนื่องด้วยฝ่ายหญิงถูกครอบครัวมั่นหมายไว้แล้วกับชายหนุ่มจากตระกูลอื่น ทั้งสองจึงมิอาจได้ครองคู่กัน เหลียงซานป๋อรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง จึงล้มป่วยและตรอมใจจนตาย ระหว่างที่ขบวนส่งเจ้าสาวผ่านหน้าหลุมศพของเหลียงซานป๋อ ฟ้าดินจึงบันดาลให้หลุมฝังศพของเหลียงซานป๋อเปิดออก ด้วยความรักที่จู้ยิงไถมีต่อเหลียงซานป๋อ เธอจึงกระโดดลงไปยังหลุ่มฝังศพของเหลียงซานป๋อ และวิญญาณของทั้งสองก็ได้กลายเป็นผีเสื้อโบยบินอย่างเสรี ม่านประเพณีใด ๆ ก็มิอาจขวางกั้นความรักแห่งเขาและเธอได้อีกต่อไป
“ม่านประเพณี” เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานที่ถูกจัดเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดนิทานพื้นบ้านของจีน ในส่วนของวรรณกรรมพื้นบ้านนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นวรรณกรรมแขนงหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแตกต่างจากวรรณกรรมอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ วรรณกรรมพื้นบ้านโดยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นนิทาน ตำนานหรือปกรณัม ล้วนมีที่มาจากการเล่าต่อ ๆ กันของกลุ่มคนในท้องถิ่น ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้แต่งหรือเริ่มเล่าเรื่อง และเนื่องจากวรรณกรรมพื้นบ้านเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อ ๆ กันมา จึงทำให้รายละเอียดของตัวเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย กล่าวโดยสรุปคือ วรรณกรรมพื้นบ้านไม่ใช่ชิ้นงานที่ถูกแต่งโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นผลงานที่ถูกสร้างสรรค์โดยกลุ่มคน ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องราวอย่างที่เล่ากันในปัจจุบัน นอกจากนี้ เอกลักษณ์เฉพาะตัวดังกล่าวยังทำให้วรรณกรรมพื้นบ้านกลายเป็นข้อมูลเชิงวัฒนธรรมประเภทหนึ่งที่สะท้อนวิถีชีวิตของกลุ่มคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
หากอ้างอิงจากบันทึกโบราณของจีน เรื่องราวที่ถูกเล่าในนิทานพื้นบ้านเรื่อง “ม่านประเพณี” เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก บันทึกโบราณที่กล่าวถึงนิทานเรื่องนี้ที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงเหลือร่องรอยอยู่ก็คือ บันทึก “สือต้าวสื่อฟานจื้อ” (十道四番志) ในสมัยราชวงศ์ถัง แต่ตัวบันทึกไม่ได้พูดถึงรายละเอียดของตัวเรื่องมากนัก จนกระทั่งปลายยุคราชวงศ์ถัง โครงเรื่องจึงเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น
ในส่วนของอภินิหารที่เกี่ยวกับวิญญาณที่กลายร่างเป็นผีเสื้อนั้นได้มีการเอ่ยถึงเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งฉากดังกล่าวในตัวเรื่องสะท้อนความเชื่อของชาวจีนที่ว่า ผีเสื้อเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ แต่ไม่ว่าจะเล่ากันมากี่รูปแบบ โครงเรื่องหลัก ๆ ก็ยังคงเป็นการพูดถึงเรื่องราวของความรักต้องห้ามที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจของนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้คือ มีการสันนิษฐานว่าตัวเรื่องมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เนื่องจากมีการขุดพบหลักฐานอ้างอิงว่ามีสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ตามโครงเรื่องอยู่จริง ทว่าเนื่องจากตัวเรื่องมีการเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน จึงทำให้เกิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับสถานที่ตั้งสุสานของเหลียงซานป๋อที่บ้างก็ว่าอยู่ที่มณฑลเจ้อเจียง บ้างก็ว่าอยู่ที่มณฑลชานตง
นอกจากนี้ ม่านประเพณียังสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาวจีนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดต่าง ๆ ตลอดจนปรัชญาดั้งเดิมก็ล้วนถูกสะท้อนให้เห็นผ่านตัวเรื่องทั้งสิ้น
แนวคิดสำคัญที่สะท้อนผ่านวรรณกรรมเรื่องดังกล่าว คือ แนวคิดของนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงของจีนอย่างขงจื่อในเรื่องความซื่อสัตย์(忠诚)และความกตัญญู(孝道)ดังที่นักวิชาการด้านจีนหลายท่านได้กล่าวไว้ว่าความซื่อสัตย์และความกตัญญูเป็นส่วนหนึ่งของคุณธรรมทั้งแปดประการของขงจื่อ(孔子八德)และเป็นแนวคิดหลักในการดำรงชีวิตของชาวจีนที่มีมาอย่างช้านาน อันดับแรกผู้เขียนจะขอกล่าวถึงแนวคิดเรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดหลักของนิทานเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ โดยแนวคิดดังกล่าว สะท้อนให้เห็นผ่านตัวละครสำคัญอย่างเหลียงชานป๋อและจู้ยิงไถที่ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอันใด ทั้งสองก็ยังมั่นคงในความรักที่มีต่อกันไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ แม้ว่าจู้ยิงไถจะรักใคร่ชอบพอกันกับ เหลียงชานป๋อ แต่สาวเจ้าก็ไม่อาจกระทำการอันขัดต่อความต้องการของครอบครัวได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้สะท้อนแนวคิดของชาวจีนในเรื่องความกตัญญูได้อย่างชัดเจน
อีกหนึ่งภาพสะท้อนสำคัญที่พบเห็นได้จากวรรณกรรมเรื่องนี้ก็คือ ปรัชญาเต๋าที่ว่า “ธรรมชาติกับมนุษย์เป็นหนึ่งเดียว”(天人合一)ปรัชญาดังกล่าวเป็นแนวคิดที่สำคัญในวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน นักปราชญ์จีนอย่าง “จวงจื่อ” (庄子)กล่าวไว้ว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เน้นย้ำว่าคนและธรรมชาติคือหนึ่งเดียวกันอย่างไม่อาจแบ่งแยกได้ นอกจากนี้ ต่ง จงซู(董仲舒)นักคิดในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกยังได้กล่าวถึงนิยามของคำว่า “ธรรมชาติ” ไว้ว่า ธรรมชาติคือตัวแทนของฟ้าหรือสวรรค์ ต่ง จงซูมองว่า การกระทำของมนุษย์มีผลต่อลิขิตแห่งสวรรค์ โดยในฉากของเรื่องที่เล่าถึงการเปิดออกของหลุมฝังศพและการที่วิญญาณของทั้งสองได้กลายร่างเป็นผีเสื้อนั้น บ่งบอกถึงการรับรู้ของสวรรค์ถึงความรักอันบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน ซึ่งนับว่าเป็นคุณธรรมขั้นสูงตามหลักคิดของชาวจีน สวรรค์จึงเกิดความเห็นใจและบันดาลให้เกิดอภินิหารดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าลิขิตแห่งสวรรค์เกิดจากผลของการกระทำมนุษย์ นอกจากนี้ ฉากที่เล่าถึงอภินิหารดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นถึงภาพความงดงามของการที่มนุษย์และธรรมชาติกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย แนวคิดดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนผ่านงานวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ ของจีน แต่ยังสะท้อนให้เห็นผ่านงานศิลปะและศาสตร์ความรู้อื่น ๆ ของจีนอีกด้วย ดังนั้น แนวคิดดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวจีน และทำให้ม่านประเพณีเป็นข้อมูลเชิงวัฒนธรรมที่ทำให้เราเข้าใจในความเป็นจีนได้อย่างลึกซึ้ง
จากที่กล่าวมาข้างต้น ม่านประเพณีจึงเป็นอีกหนึ่งวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ประเพณี ค่านิยมและสภาพสังคมของชาวจีนได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และเนื่องจากตัวนิทานมีการเล่ากันมาหลายต่อหลายยุค จึงทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการของตัวเรื่องที่ถูกตีความแตกต่างกันไปตามยุคสมัย นอกจากนี้ เรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์ในตอนท้ายของเรื่องยังตราตรึงใจผู้คนและทำให้นิทานพื้นบ้านเรื่องนี้เป็นที่นิยมของชาวจีนมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสร้างสรรค์ผลงานแขนงต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหยิบยกเอาวรรณกรรมพื้นบ้านจีนเรื่องนี้มาเล่าใหม่ ดังนั้น วรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องม่านประเพณี จึงเป็นดั่งมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของจีน สะท้อนคุณค่าทั้งในแง่วรรณศิลป์ สังคมวัฒนธรรม อีกทั้งยังควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป
รายการอ้างอิง
高洁.(2020).《从文化视角看《梁山伯与祝英台》和《罗密欧与朱丽叶》》. 大观(论坛).
李梦圆.(2020).《民间文学《梁山伯与祝英台》的哲学意蕴探析》.文化学刊.
卢晓华.(2024).《历史概念建构的思考——以“天人合一”思想的解读为例》.中学历史教学.
申圣超,舒大刚.(2016).《论孝为八德之首》.孔子研究.