ในปัจจุบัน อาชีพเกี่ยวกับการถ่ายทอดภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง หรือที่เรียกว่านักแปล ในกรณีที่เป็นการถ่ายทอดแบบลายลักษณ์อักษร และล่าม ในกรณีที่ถ่ายทอดด้วยการพูดนั้น อาจถูกมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพล่ามการประชุมตามองค์การระหว่างประเทศ เนื่องจากต้องอาศัยทักษะภาษาขั้นสูง รวมไปถึงทักษะเฉพาะทางวิชาชีพ จนได้รับค่าตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ อย่างไรก็ดี ในสังคมจีนสมัยโบราณ อาชีพลักษณะนี้มิได้ถูกมองว่ายิ่งใหญ่แต่อย่างใด หากแต่ถูกมองเป็นอาชีพเสมียนที่ต่ำต้อย มิได้มีหน้าตาในสังคมมากนัก
ในสมัยโบราณ เนื่องจากบุคคลที่รู้ภาษาต่างประเทศมีจำกัด ราชสำนักจีนจึงต้องพึ่งพาแรงงานจากชาวต่างประเทศที่รู้ภาษาจีน ให้มาทำงานแปลภาษา ทั้งแบบแปลปากเปล่าและลายลักษณ์อักษร แต่อย่างไรก็ดี ราชสำนักก็มิได้นิ่งนอนใจ มีการก่อตั้งสถานศึกษาซึ่งรับหน้าที่สอนภาษาต่างประเทศ เพื่อผลิตบุคลากรที่จะออกมาทำงานแปลและล่ามให้แก่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน โดยบทความในวันนี้ จะขอแนะนำสามสถาบันผลิตนักแปลและล่ามในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง สองราชวงศ์ศักดินาสุดท้ายของจีน ได้แก่ ซื่ออี๋ก่วน(四夷馆)ซื่ออี้ก่วน(四译馆)และถงเหวินก่วน(同文馆)ตามลำดับ
เริ่มกันที่ “ซื่ออี๋ก่วน” ซึ่งอาจแปลตรงตัวได้ว่า “หอสี่เทศ” เป็นสถาบันสอนภาษาต่างประเทศ สังกัดสถาบันฮั่นหลิน กรมธรรมการ(礼部翰林院) ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1407 ซึ่งภาษาที่สอนนั้นก็จะเป็นภาษาของแว่นแคว้นต่างๆ รอบจักรวรรดิจีน รวมแปดภาษา ได้แก่ ตาต้าร์ นฺหวี่เจิน ซีฟาน ซีเทียน หุยหุย ไป่อี๋ เกาชาง และพม่า ต่อมาใน ค.ศ. 1511 ก็ได้เพิ่มภาษาล้านนาเข้าไปเป็นเก้าภาษา หลังจากนั้น เมื่อถึง ค.ศ. 1578 เมื่อกษัตริย์แห่งสยามได้ส่งเครื่องราชบรรณาการมายังราชสำนักหมิง หน่วยงานราชการจึงตระหนักว่าตนไม่สามารถหาเจ้าหน้าที่มาทำการแปลข้อความในแผ่นทองจารึกรายละเอียดการถวายเครื่องบรรณาการออกเป็นภาษาจีนได้เลย ราชบัณฑิตนามจาง จวีเจิ้ง จึงได้ถวายฎีกาแด่พระจักรพรรดิ ขอเพิ่มภาษาสยามเข้าเป็นอีกหนึ่งแผนกของซื่ออี๋ก่วน จึงทำให้สถาบันสอนภาษาของรัฐบาลจีนแห่งนี้ เปิดแผนกภาษาต่างประเทศรวมทั้งสิ้นสิบภาษา สำหรับอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาด้านภาษาสยามให้แก่ลูกศิษย์ชาวจีนนั้น ก็ได้คัดเลือกล่ามที่เดินทางมากับคณะทูตสยามรวมสามท่าน ให้อยู่สอนหนังสือในราชสำนักหมิงสืบต่อไป
สถาบันสอนภาษาต่างประเทศถัดไปในประวัติศาสตร์จีน คือ “ซื่ออี้ก่วน”(四译馆)ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1644 สมัยราชวงศ์ชิง ชื่อของสถาบันแห่งนี้แทบจะไม่แตกต่างจาก “ซื่ออี๋ก่วน” (四夷馆)ต่างกันเพียงตัวอักษรตรงกลางเท่านั้น แท้จริงแล้ว ซื่ออี้ก่วนนั้นคือการดำเนินกิจการของซื่ออี๋ก่วนสืบต่อมาจากสมัยราชวงศ์หมิงนั่นเอง แต่สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนอักษรตรงกลาง จาก 夷 ซึ่งแปลว่า “เทศ; ต่างประเทศ” มาเป็น 译 ซึ่งแปลว่า “แปล” นั้น ก็เนื่องมาจากว่าราชวงศ์ชิงปกครองโดยชาติพันธุ์แมนจู ซึ่งเป็นชนชาติที่ชาวฮั่นมองว่าเป็นอนารยชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกกำแพงเมืองจีน ส่วนคำว่า 夷 นั้นก็แฝงนัยแห่งการดูแคลนชนเผ่าอื่นๆ ว่ามีอารยธรรมที่ต่ำต้อยกว่า ชาวแมนจูผู้สามารถยึดครองจักรวรรดิจีนได้จึงไม่พอใจกับชื่อ “ซื่ออี๋ก่วน” นัก และได้ทำการปรับชื่อเล็กน้อยเป็น “ซื่ออี้ก่วน” ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยสถาบันสอนภาษาต่างประเทศแห่งนี้ ได้ดำเนินการเรียนการสอนสืบต่อมาจนถูกรัฐบาลยุบไปในปี 1903 ช่วงปลายราชวงศ์ชิงนั่นเอง
สถาบันสุดท้ายที่จะแนะนำคือ “ถงเหวินก่วน” ถงเหวินก่วนก่อตั้งขึ้นในปี 1862 ด้วยพันธกิจที่จะสร้างนักการทูตเพื่อประโยชน์ในกิจการระหว่างประเทศของราชสำนักชิง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวรับมือกับจักรวรรดินิยมจากตะวันตกที่กำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วโลกในขณะนั้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ประเทศตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในกิจการต่างๆ ของจีน ภาษาที่สอนในสถาบันนักแปลและล่ามจึงเปลี่ยนจากภาษาของแว่นแคว้นเพื่อนบ้าน มาเป็นภาษาของมหาอำนาจตะวันตกอย่างเช่น ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาแรกที่ถูกบรรจุเอาไว้ในหลักสูตรตั้งแต่แรกก่อตั้งเมื่อปี 1862 ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย (บรรจุในปี 1863 ทั้งสองภาษา) ภาษาเยอรมัน (บรรจุในปี 1871) และภาษาญี่ปุ่น (บรรจุในปี 1897) หลังเปิดทำการได้ระยะหนึ่ง เมื่อ ค.ศ. 1890 ถงเหวินก่วนก็ถูกผนวกเข้ากับราชวิทยาลัยปักกิ่ง(京师大学堂)สถาบันอุดมศึกษา แห่งแรกของจีน ซึ่งต่อมาพัฒนาไปเป็นมหาวิทยาลัยปักกิ่งและมหาวิทยาลัยครูปักกิ่งนั่นเอง
รายการอ้างอิง
ข้อมูลเกี่ยวกับซื่ออี๋ก่วน ซื่ออี้ก่วน และถงเหวินก่วนนี้ แปลและเรียบเรียงจากหนังสือ ประวัติศาสตร์การล่ามในประเทศจีน(《中国口译史》)เขียนโดย หลี หนานชิว(黎难秋)พิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 2002 โดยสำนักพิมพ์ชิงเต่า