ตามวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกภพหนึ่ง การจากลาจึงมิได้สิ้นสุดลงด้วยลมหายใจสุดท้าย หากยังมีอีกหนึ่งคืนที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งความผูกพัน นั่นคือ “คืนที่เจ็ด” หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “โถวชี” (头七) — คืนที่วิญญาณของผู้ล่วงลับจะหวนกลับบ้าน เพื่อกล่าวคำอำลาสุดท้ายอย่างเงียบงัน
พิธี “เจ็ดวันแรกหลังความตาย” เป็นพิธีกรรมสำคัญที่สืบทอดกันมายาวนานในประเพณีจีน โดยมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจะกลับมาบ้านในคืนที่เจ็ดหลังการเสียชีวิต อาจปรากฏในความฝัน อยู่หน้าประตู หรือเพียงผ่านมากลางสายลมยามค่ำคืน คนโบราณกล่าวว่า “魂归夜七,影不现形。” (ในคืนที่เจ็ดหลังการเสียชีวิต วิญญาณของผู้ล่วงลับจะกลับมาเยือนบ้านเดิมเป็นครั้งสุดท้าย แต่จะไม่ปรากฏเป็นรูปร่างให้เห็น ไม่ทิ้งเงาไว้ ไม่ส่งเสียงใด) ความเชื่อที่ลึกลับนี้ จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมโลกของคนเป็นและคนตาย
พิธีกรรมนี้เกิดจากการผสมผสานแนวคิดของศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และขงจื๊ออย่างลึกซึ้ง พุทธศาสนาเสนอแนวคิดเรื่อง “ภาวะระหว่างภพ” (Bardo) ที่จิตวิญญาณต้องผ่าน 49 วันแห่งการเปลี่ยนผ่าน “เจ็ดวันแรก” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการนี้ ในลัทธิเต๋า มีความเชื่อว่า มนุษย์มี “魂” (ข่ายจิต/พลังวิญญาณ) และ “魄” (พลังทางกาย) เมื่อเสียชีวิต วิญญาณจะขึ้นฟ้า ส่วนพลังทางกายสลายคืนสู่ดิน และในคืนที่เจ็ด วิญญาณจะกลับมาสัมผัสบ้านอีกครั้ง ส่วนขงจื๊อแม้จะไม่เน้นเรื่องวิญญาณ แต่ก็ให้ความสำคัญกับพิธี “เจ็ดวันฝังศพ” ตาม คัมภีร์หลี่จี้ (礼记) เพื่อให้ครอบครัวได้แสดงความเศร้าโศกและความกตัญญูต่อผู้จากไปอย่างลึกซึ้ง
แต่อิทธิพลของ “โถวชี” ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความเชื่อทางศาสนา แต่ยังแทรกซึมลึกเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ในฐานะกลไกการเยียวยาทางจิตวิทยา นักจิตวิทยา Robert Neimeyer ได้ชี้ว่า มนุษย์ต้องการ “พิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์” เพื่อประคับประคองจิตใจหลังการสูญเสีย และพิธี “เจ็ดวันแรก” ก็ทำหน้าที่นั้นได้อย่างสมบูรณ์ การจุดธูป เซ่นไหว้ วางอาหาร หรือเผากระดาษเงินกระดาษทอง กลายเป็นเครื่องมือแห่งการปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก หลายคนอ้างว่าได้ยินเสียงก้าวเดิน ได้กลิ่นน้ำหอมของเสียชีวิตที่เคยใช้ หรือฝันถึงคนที่จากไป ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทางจิตวิทยาเรียกว่า “ประสบการณ์วิญญาณหลอน” (Hallucinatory Presence Experience) โดยไม่ใช่อาถรรพ์ หากเป็นผลของกลไกป้องกันตัวของจิตใจในยามโศกเศร้าอย่างรุนแรง (Rees, 1971)
ในบ้านของชาวจีน เรามักเห็นภาพห้องเงียบ มีโต๊ะเซ่นไหว้ ตะเกียงไม่ดับ อาหารยังวางอยู่ กลิ่นธูปลอยเอื่อย — สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “พิธี” แต่เป็นสัญลักษณ์ของ “บ้าน” ที่ยังไม่ปิดประตูต้อนรับวิญญาณคนที่รักกลับมา แม้เพียงชั่วคืนเดียว
แม้ในสังคมสมัยใหม่ ที่โลกวิทยาศาสตร์และความเป็นเหตุผลเข้าครอบงำมากขึ้น พิธี “เจ็ดวันแรก” ก็ยังคงอยู่ ไม่ใช่เพราะผู้คนยังคงเชื่อในวิญญาณอย่างเคร่งครัด แต่อาจเพราะมนุษย์ยังต้องการบางสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึก “เชื่อมโยง” — กับคนที่รัก กับอดีต กับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลแต่สัมผัสได้ด้วยใจ
ในยามค่ำคืนของ “โถวชี” ผู้คนเฝ้าแสงตะเกียงที่ไม่ดับ สนทนาเสียงเบา เปิดประตูทิ้งไว้ ตั้งโต๊ะอาหารไว้โดยไม่แตะต้อง — สิ่งเหล่านี้อาจดูเรียบง่าย แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าระหว่างคนเป็นกับคนตาย ยังมีสายใยแห่งความรักที่ไม่อาจตัดขาดได้
“โถวชี” จึงมิใช่เพียงพิธีกรรมแห่งความเชื่อ แต่คือความพยายามของมนุษย์ในการเผชิญหน้าความตายด้วยความรัก ความกลัว และความหวังในคราเดียวกัน
ในรอยต่อของความฝันและความจริง ของความเงียบและคำลา เมื่อคืนที่เจ็ดมาถึง บางสิ่งบางอย่างอาจกลับมา — อาจจะเป็นเสียงที่คิดถึง หรือเงาที่เคยคุ้น บางที อาจเป็นเพียงใจของเราเองที่ยังไม่อยากปล่อยมือจากคนที่รัก
รายการอ้างอิง
Evans-Wentz, W. Y. (1927). The Tibetan book of the dead. Oxford University Press.
Neimeyer, R. A. (2001). Meaning reconstruction and the experience of loss. American Psychological Association.
Rees, W. D. (1971). The hallucinations of widowhood. British Medical Journal, 4(5778), 37–41.