คอลัมน์ออนไลน์ "ชีพจรจีน" ประจำเดือนกุมภาพันธ์
“จิ่วจ้ายโกว” ความลงตัวระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต
โดยอาจารย์ศุภกร คนคล่อง
อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว (九寨沟)หรือความหมายในภาษาไทยว่า “หุบเขาเก้าหมู่บ้าน” เป็นพื้นที่เชิงอนุรักษ์ทางธรรมชาติตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ อาทิ น้ำตกหลายระดับชั้น ทะเลสาบที่มีสีสันงดงาม จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และทำให้เกิดสุภาษิตที่ว่า“九寨沟归来不看水”กล่าวคือ “หากได้มาเยือนจิ่วจ้ายโกวครั้งหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปมองน้ำที่ไหนอีก” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่าทิวทัศน์ของน้ำตก ทะเลสาบ และลำธารของอุทยานจิ่วจ้ายโกวสวยงามเป็นอย่างมาก หากได้มาพบเห็นแล้วซักครั้งหนึ่งจะไม่มองว่าทิวทัศน์ของน้ำตก ทะเลสาบ และลำธารที่ไหนสวยงามอีกเลยก็ว่าได้ โดยทั่วไปอุทยานจิ่วจ้ายโกวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และในแต่ละช่วงเวลาความสวยงามของธรรมชาติก็จะแตกต่างกันออกไป
ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน (ฤดูใบไม้ร่วง) จะเป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวกันมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของอุทยานจิ่วจ้ายโกวเลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้ที่ร่วงลงมาและกำลังผลัดใบเปลี่ยนสีนั้นสะท้อนกับน้ำในทะเลสาบใส ๆ จนทำให้มองเห็นเงาของใบไม้หลากสีในน้ำ งดงามเหมือนดังในโลกของเทพนิยาย ส่วนช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม (ฤดูหนาว) ช่วงนี้หิมะจะตกหนัก น้ำตกและลำธารจะกลายเป็นน้ำแข็ง เหมาะสำหรับคนที่ชอบหิมะ เพราะทุกพื้นที่ของหุบเขานั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวล้อมรอบทะเลสาบสีฟ้าคราม
ภาพที่ 1 : ทิวทัศน์ของอุทยานฯ ในช่วงฤดูหนาว (ซ้าย)
ภาพที่ 2 : ทิวทัศน์ของอุทยานฯ ในฤดูใบไม้ร่วง (ขวา)
ที่มา : MERRYLAND TRAVEL SERVICE CO., LTD.
และอีกช่วงเวลาหนึ่งที่นับว่าเป็นงดงามไม่แพ้ฤดูอื่นเลยทีเดียว จะอยู่ในช่วง เดือน พฤษภาคม – สิงหาคม (ฤดูใบไม้ผล – ฤดูร้อน) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ ความน่าประหลาดใจอย่างแรกก็คือสภาพอากาศ ในขณะที่ผู้เขียนไปเที่ยวนั้น เป็นช่วงเดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2557 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนมีอากาศค่อนข้างร้อนเป็นอย่างมาก แต่ที่จิ่วจ้ายโกวกลับมีอุณหภูมิอยู่ 20-25 องศา น้ำในทะเลสาบจะมีปริมาณมาก และมีฝนตกเล็กน้อยทำให้ป่าไม้และพืชพรรณบริเวณน้ำตกในพื้นที่จิ่วจ้ายโกวเจริญเติบโต เขียวชอุ่มเต็มที่ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม และผู้คนจะนิยมไปชมน้ำในทะเลสาบสีฟ้าที่ตัดกับใบไม้สีเขียว
ภาพที่ 3 และ 4 : ทิวทัศน์ของอุทยานฯ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ที่มา : ผู้เขียน
ตามที่กล่าวไปข้างต้น ที่ได้ชื่อว่าจิ่วจ้ายโกวหรือหุบเขาเก้าหมู่บ้านนั้น เนื่องจากแต่เดิมในพื้นที่แห่งนี้มีหมู่บ้านชาวทิเบตอยู่ 9 หมู่บ้าน อาศัยอยู่ริมธารน้ำในอุทยาน และได้รับการเคารพจากชาวทิเบตว่าเป็นขุนเขาธารน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตจึงกลายมาเป็นอีกส่วนผสมสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวของจิ่วจ้ายโกวมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น
ภาพที่ 5 6 และ 7: จุดท่องเที่ยวหมู่บ้านชาติพันธุ์ทิเบตภายในอุทยานฯ
ที่มา : ผู้เขียน
แม้ว่าอุทยานแห่งชาติ “จิ่วจ้ายโกว” จะเคยปิดปรับปรุงไปนานกว่า 2 ปี เนื่องจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.0 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา แตสำนักการจัดการอุทยานฯ ก็ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครั้งแรกในวันที่ 27 กันยายน 2562 โดยรับนักท่องเที่ยวไม่เกิน 5,000 คนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวต้องเข้าชมเป็นหมู่คณะ และซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าจากเว็บไซต์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้ว่าแผ่นดินไหวจะสร้างความเสียหายไว้มากเพียงไร ธรรมชาติก็จะมีกระบวนการในการฟื้นฟูตัวเองอยู่เสมอ สำหรับผู้เขียนมองว่าอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนรุ่นหลังจะไม่ได้สัมผัสถึงความสวยงามแบบดังเดิมของจิ่วจ้ายโกว แต่ก็เชื่อว่าจิ่วจ้ายโกวในปัจจุบันไม่ได้มีความสวยงามน้อยไปกว่าเดิม และยังคงรอคอยให้นักเดินทางทั้งหลายไปสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมของชาวทิเบตอยู่เป็นแน่