คอลัมน์ออนไลน์ "ชีพจรจีน" ประจำเดือนมีนาคม
เรื่อง ตะลุยแดนน้ำแข็ง หนาวเย็นสุดขั้ว “ฮาร์บิน” มณฑลเฮยหลงเจียง
โดย อาจารย์ซ่อซิง เมธาธารณ์กุล
การท่องเที่ยวเป็นวิธีหาความสุขให้กับตนเองที่ดีมากๆวิธีหนึ่งหากมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศจีน คาดว่าในใจหลายๆคนคงจะอยากไปเที่ยวมหานครปักกิ่งเมืองหลวงของจีน หรือเมืองเจริญทางเศรษฐกิจทั้งหลายตลอดตามแนวชายฝั่งทะเลของจีน หรือแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาตร์และวัฒนธรรมที่ขึ้นชื่อของจีน แต่ด้วยความใหญ่โตของขนาดพื้นที่ของประเทศ ผนวชกับเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ประเทศจีนยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกเข้าไปยังตอนในของประเทศ ที่รอพวกเราไปเยี่ยมเยือน
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเรียนต่อยังประเทศจีนในช่วงเวลาหนึ่ง ระหว่างที่เรียนอยู่นั้น ก็จะใช้วิธีแบบคนจีนโบราณที่ว่าอ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ 读万卷书,行万里路(ตู๋ ว่านเจวี้ยน ฉู , สิง ว่านหลี่ ลู่) ดังนั้นเมื่อยามว่างจากการเรียนและการทำวิจัย ก็จะเอาเวลาและทรัพย์สินเท่าที่จะมีเก็บ ใช้ไปกับการท่องเที่ยวทั่วทั้งประเทศจีนตลอดช่วงหลายปีที่อยู่จีน นี่เองที่เป็นเหตุผลให้ผู้เขียนเมื่อยามเรียนจบจากจีนแล้วเดินทางกลับไทยด้วยสภาพกระเป๋าแห้ง เพราะใช้เงินไปกับประสบการณ์ท่องเที่ยวมากกว่าการเก็บออม เงินสูญไปไม่เป็นไร แต่ประสบการณ์จากการท่องเที่ยวทั้งหลายนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัดแม้กาลเวลาจะผ่านไป
เมืองท่องเที่ยวเมืองหนึ่งที่ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปเที่ยวกันมากนั่นก็คือเมืองฮาร์บิน 哈尔滨(ฮาร์ เอ่อร์ ปิน) เมืองเอกของมณฑลเฮยหลงเจียง 黑龙江 เสน่ห์ของเมืองฮาร์บินก็คือความหนาว ที่นี่คือดินแดนที่หนาวยะเยือกที่สุดของจีน ชื่อเรียกเมืองฮาร์บินเป็นชื่อที่แปลกมากชื่อหนึ่ง เพราะฟังยังไงก็ไม่เหมือนภาษาจีนกลาง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาษาจีนกลางครับ ที่มาของชื่อนี้มีหลากหลายแนว ในบทความนี้จะขอแนะนำที่มาของชื่อแค่เพียงแนวเดียวนะครับ เขามีความเชื่อว่า ชื่อนี้มีที่มาจากสำเนียงเรียกดินแดนแห่งนี้แต่เดิมว่า “哈尔温” ซึ่งเป็นการทับสำเนียงแบบแมนจู โดยมีความหมายว่าหงส์ฟ้า ดินแดนแห่งหงส์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อฮาร์บินนี้มันมีที่มาจากกลุ่มชนชาติแมนจูแน่นอน เพราะดินแดนแห่งนี้เคยเป็นเขตอิทธพลของชนชาติแมนจูมาก่อน
ดินแดนฮาร์บินในอดีตกาลนั้น เป็นดินแดนไกลปืนเที่ยงที่ไม่ค่อยจะมีผู้คนอยากอยู่อาศัยมากนัก แต่ในยุคล่าอาณานิคมของเหล่าประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย เมืองฮาร์บินก็กลายมาเป็นเมืองหน้าด่านการค้าที่สำคัญของจีนด่านหนึ่ง เพราะที่นี่เป็นชุมทางรถไฟชุมทางแรกที่เชื่อมต่อเอเชียตะวันออกไกลเข้ากับยุโรป ทำให้ที่นี่ในยุคนั้น คราคร่ำไปด้วยผู้คนจากชาติต่างๆทุกสารทิศ และกลุ่มควันขโมงไปทั่วเมืองจากขบวนรถไฟที่วิ่งไปมาระหว่างจีนกับประเทศทางตะวันตกโดยเฉพาะรัสเซียอย่างครึกครึ้น ด้วยการเป็นเมืองหน้าด่านนี่เอง จึงทำให้เมืองแห่งนี้ได้หลอมรวมเอาวัฒนธรรมจากหลากหลายชนชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์ไปอีกแบบที่ไม่แพ้เมืองตามแนวชายฝั่งทะเลของจีนเลย
ฤดูกาลที่เหมาะไปเที่ยวฮาร์บินนั้นแน่นอนว่าคนในประเทศแถบร้อนชื้นอย่างไทยเรา ก็คงเลือกไปเที่ยวในฤดูหนาวมากกว่า เพื่อจะได้ไปสัมผัสกับความหนาวอันสุดขั้ว สัมผัสกับหิมะที่พรั่งพรูกันลงมาจากฟากฟ้าเหมือนฉากหิมะในละคร ไปเหยียบย่ำบนพื้นที่ขาวโพลนไปทั่วด้วยพื้นหิมะและน้ำแข็ง ในที่นี้ขอเตือนหน่อยว่า พื้นหิมะเดินย่ำได้สนุกดี แต่พื้นน้ำแข็งนั้นจงเดินด้วยความระมัดระวังยิ่ง ต้องเดินด้วยก้าวที่สั้นกว่าปกติ และต้องเดินช้ากว่าปกติ เพราะพื้นมันลื่นมาก หากเผลอเมื่อใด เห็นทีท่านจะต้องลื่นล้มไปคลุกน้ำปนน้ำแข็งอันเย็นเฉียบเป็นแน่ การเที่ยวในเวลากลางวันในตัวเมืองฮาร์บินนี้ ผู้คนนิยมไปเดินบนถนนคนเดินจงยาง 中央街 ถนนสายนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คหนึ่งที่พลาดไม่ได้ในการไปเที่ยวเมืองฮาร์บิน ถนนจงยางเส้นนี้มีความยาวประมาณ๑.๔กิโลเมตร พื้นถนนจะปูด้วยอิฐหรือหินไม่แน่ใจเป็นก้อนๆคล้ายอิฐมอญบ้านเรา แล้วสองข้างทางตลอดถนนสายนี้จะเป็นตึกสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย ภายในอาคารเหล่านี้จะเป็นห้างสรรพสินค้า ขายสินค้าแบรนด์เนม สินค้าทั่วไป และพวกของที่ระลึกทั้งหลาย แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าของรัสเซีย ส่วนใครที่ชอบเสื้อขนสัตว์อุ่นๆใส่ ที่นี่มีให้เลือกมากมายหลากแบบหลายราคา วันที่ผู้เขียนไปนั้น เพื่อนชาวจีนที่ฮาร์บินเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีเสื้อขน สัตว์ชนิดหนึ่งจัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษ จึงชวนกันไปดู ทีแรกผู้เขียนก็ไม่รู้จักว่าขนอะไร แต่เห็นราคาแล้วตกใจ แต่ละตัวเริ่มต้นราคากันที่๕พันหยวนขึ้นจนถึงนับหมื่นหยวนทั้งนั้น (คิดเป็นเงินไทยประมาณสองหมื่นห้าพันบาท) เพื่อนพยายามอธิบายว่าขนสัตว์อะไร แต่ผู้เขียนก็ไม่รู้จัก ต้องเปิดมือถือค้นหาคำศัพท์ก็ถึงเพิ่งรู้ว่าอ้อ นี่มันเสื้อขนมิ้งนี่นา ตลาดเสื้อขนสัตว์ในฮาร์บินนี้ดังมาก เป็นทั้งแหล่งผลิตและนำเข้า แล้วค่อยส่งขายไปทั่วจีน บนท้องถนนจงยางก็จะมีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าวางของกินของที่ระลึกขายกันมากมาย ที่สะดุดตาผู้เขียนก็คือ ร้านขายขนมปัง กับร้านขายไอศกรีม เพราะเห็นผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียด ผู้เขียนได้ไปต่อแถวซื้อไอศกรีม ด้วยอยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหน จึงไปต่อคิวนานพอควร หลังซื้อมาก็พบว่าเป็นไอศกรีมไม้เหมือนบ้านเรานี่แหละ เพียงแต่ไม่ได้แช่ตู้เย็น โดยเอาวางไว้บนถาด จะเอากี่ไม้ก็หยิบเอาและจ่ายเงิน เวลากินก็ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกลัวมันจะละลาย เพราะอุณหภูมิที่ติดลบยี่สิบกว่าองศา ทำให้มันไม่ละลายเองแน่นอน ส่วนร้านขายขนมปังเขาบอกว่ามาเดินถนนจงยางแล้วต้องซื้อขนมไปฝากเพื่อน ดูแล้วมันคงแข็งไม่น่าทานสักเท่าใดจึงไม่ได้ลอง ขณะที่กำลังเดินเหนื่อยพอดีนั้น ก็มาถึงจุดแลนด์มาร์คสำคัญอีกจุดนั่นก็คือโบสถ์เซนต์โซเฟีย (圣·索菲亚教堂:Saint Sophia Cathedral ) สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คอันดับต้นๆ ของเมืองฮาร์บินเลยก็ว่าได้ครับ เป็น โบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นตามศิลปกรรมของรัสเซีย สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ.1907 ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆเท่านั้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของทหารรัสเซียเมื่อครั้งเข้ามายึดครองเมืองฮาร์บิน ต่อมาเมื่อได้รับความนิยม จึงมีการปรับปรุงสร้างต่อเติมขึ้นอีกในช่วงปีค.ศ.1923 และในช่วงปีค.ศ.1997 เทศบาลนครฮาร์บินได้ปรับปรุงขยายจนกลายมาเป็นโบสถ์อันสวยงามและยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน โดยในปัจจุบันภายในโบสถ์เซนต์โซเฟียแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงรูปภาพและประวัติ ของเมืองฮาร์บินในยุคต่างๆ การเที่ยวที่ถนนจงยางนี้นอกจากกลาววันแล้ว ในช่วงเวลากลางคืน แสงไฟจากร้านค้าต่างๆ และไฟประดับตลอดแนวถนน และไฟส่องสว่างที่ตุ๊กตาน้ำแข็งที่แกะไว้กลางถนนตลอดแนว ก็ทำให้บรรยากาศของถนนคนเดินจงหยางมีความสวยงามและโรแมนติกมากๆ
เมืองฮาร์บินมีแม่น้ำที่สำคัญชื่อแม่น้ำซงฮัว (松花江) ในช่วงฤดูหนาวนั้น แม่น้ำซงฮัวก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้สามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งได้เลย ช่วงฤดุที่แม่น้ำแห่งนี้กลายเป็นน้ำแข็งนั้น สถานที่แห่งนี้จะถูกเนรมิตเป็นสถานที่พักผ่อนและมีกิจกรรมมากมาย เช่น การเล่นสกีน้ำแข็ง ขับเอทีวีบนน้ำแข็ง สไลด์เดอร์ บานาน่าโบ๊ทบนน้ำแข็ง หรือแม้แต่นั่งชมผู้คนทำกิจกรรมกันบนแม่น้ำก็มีความสุขมากแล้วเช่นกัน
ทีนี้มาถึงจุดไฮไลท์สุดท้ายสำหรับบทความนี้คือการไปเที่ยวเทศกาลแกะสลักหิมะและน้ำแข็งนานาชาติแห่งเมืองฮาร์บินที่เกาะไท่หยาง (太阳岛ไท่หยางต่าวหรือเกาะพระอาทิตย์) เกาะไท่หยางเป็นเกาะขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำซงฮัว เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศในช่วงฤดูร้อนที่ขึ้นชื่อของเมืองฮาร์บิน มีเนื้อที่ 38 ตารางกิโลเมตร ภายในเกาะจะมีกำหนดเขตอนุรักษ์รอบๆเกาะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับนานาชาติ เพราะเมื่อฤดูหนาวของทุกปีมาถึง ที่นี่ก็จะจัดงานนิทรรศการศิลปะการแกะสลักน้ำแข็งนานาชาติ ซึ่งถูกจัดขึ้นที่เกาะพระอาทิตย์แห่งนี้นั่นเอง เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1999 โดยการริเริ่มของรัฐบาลท้องถิ่นมณฑลเหยหลงเจียง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวฮาร์บิน โดยระยะเวลาของการจัดงานจะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธุ์ ชนิดข้ามปีกันเลยทีเดียว ปีที่ผู้เขียนไปเที่ยวนั้น มีโอกาสได้เห็นผลงานแกะสลักฝีมือคนไทยได้รางวัลกับเขาด้วยนะครับ แต่จำไม่ได้ว่าแกะเป็นรูปอะไร ภายในสถานที่จัดกิจกรรมนี้ นอกจากเดินชมผลงานการแกะสลักน้ำแข็งของชาติต่างๆที่ส่งเข้าประกวด ยังมีของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆของจีนก็จะส่งผลงานเข้าร่วมโดยใช้น้ำแข็งแกะเป็นโดม เป็นบ้าน เป็นร้านค้าหรือเป็นตราบริษัทไว้ให้นักท่องท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอีกด้วย หากเดินจนเหนื่อยก็ลองไปเล่นสไลเดอร์บนกำแพงเมืองจีนที่เป็นน้ำแข็ง ก็ได้นะครับ เขาจะให้พลาสติกคล้ายกะละมังอาบน้ำเด็กทารก เราถือมันเดินขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วนั่งในพลาสติกนั้นแล้วลื่นไหลลงมาตามร่องน้ำแข็ง ซึ่งมันเร็วมาก และเจ็บตัวพอสมควร ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย หากไม่อยากเดินก็ไปเลื่อนที่ลากโดยม้าก็ได้ครับ เน้นว่าเป็นม้าลากเลื่อน ไม่ใช่สุนัขลากเลื่อน มันจะพาเราไปชมรอบงานได้โดยไม่ต้องเดินให้เหนื่อยมาก หลังเที่ยวเหนื่อยจุใจแล้ว ก็ลองทานอาหารที่คนพื้นที่นี้นิยมทานกันในฤดูหนาว ซึ่งเพื่อนคนจีนเรียกว่าต้าตู大肚 ซึ่งความจริงแล้วก็คลายหม้อไฟทั่วไปที่คนจีนนิยมทานกัน แต่ที่นี่ผู้คนจะนิยมทานเครื่องในสัตว์มากกว่าที่อื่น ในบริเวณงานเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งมีหลายร้าน แต่ขอแนะนำให้เข้าไปหาทานตามร้านในเมืองดีกว่า ราคาถูกว่าอร่อยกว่ามาก
หวังว่าบทความแนะนำการท่องเที่ยวฮาร์บินนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ