อยู่ร่วมกับความกลัว: ความเชื่อจีนที่ควบคุมในสิ่งที่ไม่อาจควบคุม

หมวดหมู่ข่าว: sclc-ชีพจรจีน

คอลัมน์ออนไลน์ "ชีพจรจีน" ประจำเดือนพฤษภาคม 2568

เรื่องระหว่าง อยู่ร่วมกับความกลัว: ความเชื่อจีนที่ควบคุมในสิ่งที่ไม่อาจควบคุม

โดย อาจารย์ศิรินันท์ พื้นทอง (อาจารย์ประจำสำนักวิชาจีนวิทยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)

          ในทุกยุคสมัย "ความกลัว" เปรียบเสมือนเงาที่ติดตามมนุษย์มาแต่โบราณ ไม่ได้เป็นแค่เพียงสัญชาตญาณที่เตือนให้หลีกเลี่ยงอันตรายเท่านั้น หากแต่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์คิดค้นวิธีเอาตัวรอด สร้างสรรค์นวัตกรรม และแม้แต่ปรัชญาเพื่อความเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่อาจควบคุมได้ สำหรับชาวจีน ความกลัวไม่ใช่แค่ความรู้สึกเฉพาะตัว หากแต่กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิดระบบความเชื่อ พิธีกรรม และการปฏิบัติที่หยั่งรากลึกในวิถีชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ไม่เพียงเพื่อหลบเลี่ยงภัยคุกคาม แต่ยังเป็นกลไกในการสร้างระเบียบในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บทความนี้จะสะท้อนให้เห็น “ความกลัว” ในแต่ละยุคสมัยของวัฒนธรรมจีนและการออกแบบวิธีจัดการกับความกลัวในแต่ละยุค

ยุคโบราณ: กลัวธรรมชาติและวิญญาณ—จุดเริ่มต้นของการต่อรองกับพลังเหนือธรรมชาติ

          ในยุคโบราณที่มนุษย์ยังไร้ซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โลกเป็นสถานที่ที่โหดร้ายและยากจะคาดเดา ทั้งเหตุการณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหว ความแห้งแล้ง โรคระบาด และความอดอยากเป็นภัยที่พร้อมจะคร่าชีวิตและทำลายชุมชนได้ในพริบตา ความกลัวที่ปกคลุมชีวิตประจำวันเช่นนี้ผลักดันให้ชาวจีนโบราณพยายามค้นหาคำอธิบายต่อสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ พวกเขามีแนวคิดสิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ จึงต้องให้ความเคารพอย่างสูงสุด การแสวงหาความหมายเช่นนี้นำไปสู่การถือกำเนิดของเทพเจ้าผู้เป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติ

          หนึ่งในเทพเจ้าที่สะท้อนความกลัวและการแสวงหาความมั่นคงของมนุษย์ต่อภัยธรรมชาติ คือ จตุรเทพมังกร(四海龙王) เทพเจ้าแห่งน้ำและเทพเจ้าแห่งฝน ผู้ควบคุมสายน้ำที่ทั้งหล่อเลี้ยงชีวิตและสามารถทำลายล้างได้ในเวลาเดียวกัน สายน้ำที่ดูนิ่งสงบสามารถเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำหลากที่โหมกระหน่ำพัดพาทุกสิ่งไปสู่หายนะ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้แม่น้ำกลายเป็นทั้งแหล่งชีวิตและต้นตอแห่งความกลัว ชาวจีนจึงยกแม่น้ำให้มีเทพเจ้าผู้ดูแล การบูชาและการเซ่นไหว้จตุรเทพมังกร ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมเพื่อขอความเมตตา แต่เป็นการต่อรองและประกันความอยู่รอดของชุมชน หากแม่น้ำสงบนิ่ง พวกเขาเชื่อว่านั่นคือผลจากการเอาใจเทพเจ้า แต่หากเกิดภัยพิบัติ ความผิดตกอยู่ที่มนุษย์ผู้ลืมถวายเครื่องเซ่นหรือประพฤติผิดในสายตาของเทพเจ้า

          ขณะเดียวกัน เทพเจ้าฟ้าหรือเทียนกง(天宫) ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนของสวรรค์ ฟ้าเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของพลังที่ควบคุมทุกสิ่งในจักรวาล ฟ้าสามารถประทานพรแก่ผู้ที่ประพฤติดี และเพิกถอนพรจากผู้ที่ฝ่าฝืนระเบียบแห่งสวรรค์ การอ้อนวอนขอความเมตตาจากฟ้าจึงไม่ใช่เพียงความหวังเชิงศาสนา แต่เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับว่ามนุษย์ไม่อาจควบคุมทุกสิ่งได้ และต้องดำเนินชีวิตภายใต้กรอบที่ฟ้ากำหนด ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าฟ้าเป็นเหมือนการเจรจาอันละเอียดอ่อน ระหว่างความต้องการของมนุษย์กับกฎแห่งธรรมชาติที่ไม่มีใครฝ่าฝืนได้

          เพื่อสื่อสารกับพลังเหล่านี้ พิธีกรรมเซ่นไหว้ จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นช่องทางที่มนุษย์เชื่อว่าสามารถส่งคำขอและความปรารถนาไปยังเทพเจ้า เป็นทั้งการขอความเมตตาและการต่อรองเพื่อปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติ ชาวจีนโบราณไม่ได้สร้างระบบสุสานหรือพิธีกรรมโลกหลังความตายที่ซับซ้อนเหมือนราชวงศ์ในเวลาต่อมา หากแต่เน้นการต่อรองกับโลกธรรมชาติที่จับต้องได้ และใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ในชีวิตประจำวัน

ยุคราชวงศ์: กลัวอำนาจเหนือควบคุมและความเปลี่ยนแปลง—จากธรรมชาติสู่การเมืองและสังคม

          เมื่อมนุษย์เริ่มรวมกลุ่มเป็นสังคมขนาดใหญ่และมีรัฐเป็นศูนย์กลาง ความกลัวไม่ได้หายไป หากแต่เปลี่ยนรูปจากความกลัวต่อภัยธรรมชาติเป็นความกลัวที่ซับซ้อนกว่าเดิม นั่นคือความกลัวต่ออำนาจที่เกินควบคุมของมนุษย์ด้วยกันเอง และความเปลี่ยนแปลงอันคาดเดาไม่ได้ที่อาจทำลายระเบียบแห่งชีวิตและสังคมที่เพิ่งสร้างขึ้น ความกลัวต่อภัยธรรมชาติยังคงอยู่ แต่ภัยที่น่ากลัวกว่าในสายตาของผู้ปกครองและประชาชน คือ การสูญเสียอำนาจ ความไม่มั่นคง และความไม่จีรังของชีวิตและตำแหน่งทางสังคม

          จักรพรรดิของจีนในแต่ละราชวงศ์จึงมิได้เพียงบริหารบ้านเมือง แต่ยังต้องเผชิญกับความกลัวระดับโครงสร้าง นั่นคือการรักษาอำนาจให้อยู่ยั้งยืนยงในโลกที่ไม่แน่นอน วิธีการจัดการและวิธีการป้องกันจึงไม่ใช่แค่เพียงการทหารหรือการเมือง หากแต่รวมไปถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมที่ช่วยควบคุมทั้งโชคชะตาและความกลัวของประชาชน

          ความเชื่อจึงกลายเป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณและการเมืองที่สำคัญ ในการต่อรองกับสิ่งที่ไม่แน่นอนนั้น หนึ่งในหลักฐานของความพยายามควบคุมอำนาจที่มองไม่เห็น คือศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการจัดวางบ้านเรือนหรือเมืองให้สวยงามตามความชอบ แต่เป็นการออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับพลังงานจักรวาลที่เชื่อกันว่าสามารถเสริมสร้างหรือขัดขวางโชคชะตาได้ พระราชวังต้องห้าม(故宫) ในราชวงศ์หมิงและชิงจึงถูกสร้างขึ้นตามหลักสมดุลหยินหยางและทิศทางพลัง เพื่อสะท้อนว่าจักรพรรดิเป็นผู้ที่ประสานฟ้า ดิน และมนุษย์อย่างถูกต้อง การออกแบบดังกล่าวไม่ได้มีแค่ผลทางสถาปัตยกรรม แต่ยังเป็นสัญญาณที่ส่งออกไปยังประชาชนทั้งจักรวรรดิ ว่าผู้นำมีความสามารถควบคุมไม่เพียงอำนาจทางโลก แต่ยังรวมถึงแรงลึกลับที่กำหนดความเป็นไปของชีวิต

          เช่นเดียวกับ ฤกษ์ยาม ที่ไม่ได้เป็นเพียงประเพณี แต่เป็นกลไกควบคุมเวลาให้สอดคล้องกับระเบียบของจักรวาล ทุกเหตุการณ์สำคัญ ตั้งแต่การครองราชย์ ออกรบ ไปจนถึงการแต่งงานของขุนนาง ต้องคำนวณตามฤกษ์ยามที่ถูกต้อง ความเชื่อในฤกษ์มิใช่เพียงความงมงาย หากเป็นการจัดระเบียบเหตุการณ์มนุษย์ให้สอดคล้องกับจังหวะของจักรวาล เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกระแสพลังที่อาจเป็นอัปมงคล

          เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตนั่นก็คือ “ความตาย” จักรพรรดิและชนชั้นสูงต่างสร้าง สุสานอันอลังการ ไม่ใช่เพื่ออวดอำนาจ แต่เพื่อออกแบบโลกหลังความตายให้กลายเป็นสถานที่ที่มั่นคงและปลอดภัย การตกแต่งสุสานและการจัดวางวัตถุมงคลต่าง ๆ เป็นทั้งสัญลักษณ์ของอำนาจที่ต่อเนื่อง และเป็นวิธีป้องกันภัยพิบัติทางจิตวิญญาณที่อาจเกิดขึ้นหลังความตาย สุสานจักรพรรดิหมิงไม่ใช่เพียงสถานที่ฝังศพ แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าความยิ่งใหญ่ในชีวิตยังดำรงอยู่แม้ในโลกหน้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความตายอย่างสงบ หลายพระองค์พยายามต่อรองกับความตายอย่างสิ้นหวัง ความพยายามค้นหายาอายุวัฒนะ จึงเกิดขึ้นในแทบทุกราชวงศ์ จักรพรรดิฉินสื่อหวง(秦始皇) ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อตามหาน้ำอมฤตแห่งชีวิต แม้ว่าสุดท้ายจะสิ้นพระชนม์ด้วยผลจากสารปรอทที่เชื่อว่าเป็นน้ำยาอมฤต ความพยายามนี้สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่ามนุษย์พยายามใช้ภูมิปัญญาและพลังแห่งความเชื่อ ควบคุมแม้กระทั่งกฎธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่สุด — ความตาย

          นอกเหนือจากนั้นยังมีแนวคิด Mandate of Heaven หรือ "อาณัติสวรรค์" คือหัวใจของความเชื่อยุคราชวงศ์ พิธีเฟิ่งซาน(封禅)ที่จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ประกาศต่อสาธารณชนว่าสวรรค์ยินยอมให้ตนปกครอง นั่นไม่ใช่เพียงการแสดงออกทางศาสนา แต่เป็นวิธีสร้างความมั่นใจให้ทั้งตนเองและประชาชนเห็นว่าอำนาจของมนุษย์ได้รับการรับรองโดยพลังที่สูงกว่า เป็นการป้องกันความกลัวทางการเมืองที่รุนแรงที่สุด

          ดังนั้น ความเชื่อและพิธีกรรมในยุคราชวงศ์จึงมิได้เป็นเพียงเรื่องศรัทธาส่วนบุคคลหรือความงมงาย แต่เป็นกลไกที่รัฐและสังคมร่วมกันสร้างขึ้น เพื่อควบคุมทั้งความกลัวของผู้นำและประชาชน พร้อมทั้งหล่อหลอมระเบียบใหม่ให้มนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ยุคปัจจุบัน: กลัวความล้มเหลวและความไม่แน่นอน—ความเชื่อเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจในโลกที่ผันผวน

          ในยุคปัจจุบันที่มนุษย์ดูเหมือนจะมีเครื่องมือรับมือกับโลกอย่างครบครัน ทั้งเทคโนโลยีขั้นสูง วิทยาศาสตร์ที่ให้คำอธิบายแทบทุกอย่าง และข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก ความกลัวต่อภัยธรรมชาติและอำนาจทางการเมืองที่เคยครอบงำในอดีตกลับลดน้อยลง แต่ใช่ว่าความกลัวจะสูญหาย มันเพียงแค่แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นความหวาดวิตกต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมในชีวิตสมัยใหม่ ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงในงานและความสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วเกินไป และความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะต้องแข่งขันเอาชนะกันอยู่ตลอดเวลา แม้ข้อมูลและเครื่องมือสมัยใหม่จะช่วยให้มนุษย์สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงและวางแผนชีวิตได้ดีกว่าเดิม แต่ในใจลึก ๆ ผู้คนจำนวนมากยังรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่อยู่ในโลกที่ไม่มีความแน่นอน ความกลัวเช่นนี้ไม่ได้ต่างไปจากที่บรรพบุรุษในอดีตเผชิญ เพียงแต่ภัยที่น่ากลัวที่สุดในปัจจุบันไม่ใช่แม่น้ำที่พัดพาเมืองทั้งเมืองไป หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่โค่นราชวงศ์ใหญ่ แต่เป็นการสูญเสียเสถียรภาพและการควบคุมชีวิตของตนเอง

          ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อดั้งเดิมของจีน จึงยังคงดำรงอยู่และกลับมาได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แม้จะมีความรู้และเหตุผลสมัยใหม่รองรับการตัดสินใจในชีวิตแทบทุกเรื่องก็ตาม การเลือก เลขมงคล เช่น เลข 6 ที่หมายถึงความราบรื่น และเลข 8 ที่สื่อถึงความมั่งคั่ง จึงไม่ใช่เพียงธรรมเนียม แต่เป็น สัญลักษณ์ของความปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จในโลกที่คาดเดาไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม การหลีกเลี่ยงเลข 4 ที่พ้องเสียงกับคำว่า “ตาย” แสดงถึงความพยายามกำจัดพลังลบ แม้จะรู้ว่าตัวเลขไม่มีอิทธิฤทธิ์จริง แต่การปฏิเสธพลังที่อัปมงคลก็ยังช่วยสร้างความอุ่นใจ

          ส่วนฮวงจุ้ยที่เคยมีมาตั้งแต่ในยุคก่อนนั้น ในยุคปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ และไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจัดบ้านหรือออกแบบเมืองเหมือนในยุคราชวงศ์ แต่ได้แปรสภาพเป็นศาสตร์ที่ช่วยให้มนุษย์สร้างสมดุลระหว่างสภาพแวดล้อมกับความต้องการส่วนตัว ในออฟฟิศขนาดใหญ่ โต๊ะทำงานของผู้บริหารมักจัดวางตามหลักฮวงจุ้ยไม่ใช่เพราะขาดความรู้ทางการออกแบบ แต่เพราะต้องการลดพลังงานลบและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ และยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจโลกธุรกิจที่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่หายนะทางการเงินและชื่อเสียง

          ในสังคมที่เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ฤกษ์ยาม ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเหตุการณ์ชีวิตที่ไม่สามารถทดลองหรือแก้ไขซ้ำได้ เช่น การแต่งงาน การเปิดธุรกิจ หรือการซื้อบ้าน ฤกษ์ดีช่วยสร้างกรอบเวลาที่ไม่ใช่แค่เหมาะสมเชิงโหราศาสตร์ แต่ยังช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขากำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่ในช่วงเวลาที่จักรวาลเปิดรับพลังแห่งความสำเร็จ

          ในอีกด้านมุมของความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีความเปราะบางขึ้นและความโดดเดี่ยวกลายเป็นโรคระบาดทางจิตวิทยาของศตวรรษที่ 21 พิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ จึงไม่ใช่เพียงการคงประเพณี หากเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางอารมณ์ที่ช่วยเตือนว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยว ความเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษเป็นการย้ำเตือนถึงเครือข่ายของความรัก ความกตัญญู และความต่อเนื่องที่ยืนยาวกว่าความผันผวนของชีวิตปัจจุบัน

           และยังมีเครื่องรางนำโชคอย่างปี่เซียะ(貔貅)และไฉ่ซิงเอี๊ยะ(财神爷)ที่วางอยู่ในร้านค้าและบ้านเรือน ไม่ใช่เพียงวัตถุตั้งโชว์ แต่เป็น เครื่องหมายของความหวัง พวกมันทำหน้าที่เหมือนเครื่องยืนยันว่า แม้โชคชะตาจะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่ความพยายามในการสร้างพลังบวกยังคงเป็นหน้าที่ของมนุษย์

         แม้โลกจะเต็มไปด้วยข้อมูลและเหตุผล แต่ในห้วงลึกของจิตใจ มนุษย์ยังต้องการความมั่นใจ ต้องการความรู้สึกว่ายังมีวิธีที่จะจัดการกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ความเชื่อดั้งเดิมของจีนจึงไม่ได้เป็นเพียงซากวัฒนธรรมของอดีต หากแต่เป็น "เครื่องมือจิตวิทยา" ที่มนุษย์สมัยใหม่ใช้เพื่อต่อรองกับโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยทำมาแล้วหลายพันปีแม้ข้อมูลและเทคโนโลยีจะช่วยให้มนุษย์วางแผนชีวิตได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น แต่ความเชื่อแบบดั้งเดิมยังคงเป็นเครื่องมือทางจิตใจที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของโชคชะตา หากแต่มีบทบาทและอำนาจในการกำหนดทิศทางชีวิตของตนเอง

          สิ่งที่ชาวจีนปฏิบัติต่อกันมาในทุกยุคทุกสมัยนั้นท้อนให้เห็นว่าความเชื่อไม่ใช่ความงมงาย แต่เป็นภูมิปัญญาการอยู่รอด มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยล้วนกลัวสิ่งเดียวกัน คือความไม่แน่นอน ความตาย และการสูญเสีย ความเชื่อและพิธีกรรมไม่ใช่เพียงการปลอบประโลมทางจิตใจ แต่เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้เพื่อต่อรองกับพลังที่ควบคุมไม่ได้ สำหรับวัฒนธรรมจีน ความเชื่อจึงไม่ใช่สิ่งล้าสมัยหรือความงมงาย แต่เป็นภูมิปัญญาการอยู่รอด ที่ช่วยให้ผู้คนเผชิญหน้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างมีความหวัง

รายการอ้างอิง

ความเชื่อเรื่องเลขมงคลของชาวจีน. (2556, 8 มกราคม). Sanook. https://www.sanook.com/horoscope/82937/

ทีกง เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าของชาวจีนที่ชาวภูเก็ตมีวิธีบูชาไม่เหมือนใคร. (2561, 9 กุมภาพันธ์). The Cloud. https://readthecloud.co/tiangong-phuket/

พรรณพร กะตะจิตต์. (2561, 9 เมษายน). วิทยาศาสตร์เบื้องหลังผู้คนที่ชื่นชอบความกลัว. SciMath. https://www.scimath.org/art.../item/7829-2018-01-10-09-00-11

ฤกษ์ไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย. (ม.ป.ป.). มหามงคล. https://www.mahamongkol.com/m/content.php?id=16

อาณัติแห่งสวรรค์. (ม.ป.ป.). วิกิพีเดีย. https://th.wikipedia.org/wiki/อาณัติแห่งสวรรค์

Fengshui Town. (ม.ป.ป.). เมืองฮวงจุ้ย FengShui Town เฟิงสุ่ยทาวน์. https://www.fengshuitown.com/

Gujian Jiayuan. (2024, October 17). Zhongguo xiangrui wenhua zhong de “zhao cai wenhua” [The “Fortune-Attracting Culture” in Chinese Auspicious Culture]. https://www.gujianchina.cn/news/show-13682.html

Sihai longwang [The Dragon Kings of the Four Seas].(n.d.). Wikipedia. https://zh.wikipedia.org/zh-hans/四海龍王

  • 44 ครั้ง